เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ภาษาสมมุติ ภาษาสมมุติมีหลากหลายภาษา แต่ภาษาใจมีภาษาเดียวนะ ภาษาใจภาษาเดียว แม้แต่คนกับสัตว์ก็ยังเข้าใจได้เลย เวลาสัตว์เรามองตามันสิ มันมีความสุขมีความทุกข์ เห็นไหม ภาษาใจ.. ภาษาใจคือภาษาความสุขความทุกข์ในหัวใจนะ ภาษาใจเป็นภาษาสมมุติภาษาสากลอันหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นอริยสัจ มันเป็นภาษาที่รู้กันอีกชั้นหนึ่งนะ รู้อีกชั้นหนึ่งเพราะอะไร เพราะดูสิ เวลาเราคิดกัน เห็นไหม เราคิดกัน เราสื่อภาษากัน แม้แต่ภาษายังต้องแปล ต้องแปลเพื่อความเข้าใจกัน ความเข้าใจกัน พอความเข้าใจ เห็นไหม นี่พอบอกว่านี่ อ๋อ! อ๋อ ไม่รู้ไง อ๋อแล้วไม่รู้ แต่ถ้าเป็นธรรมนะ อ๋อรู้ อ๋อแล้วเข้าใจด้วย อ๋อไม่รู้คืออ๋อไง อ๋อ เพราะความเข้าใจภาษาเรา มันเข้าใจคนละภาษาใช่ไหม แต่เวลาความเข้าใจของเรา แต่ไม่ใช่เข้าใจตามความเป็นจริง อ้อ! แต่ให้อธิบายๆ ไม่ถูก
แต่ถ้าเป็นภาษาธรรมนะ มันถึงหนองอ้อ อ๋อนี่ อ๋อต้องรู้ด้วย รู้ในอะไร? รู้ในอริยสัจ ถ้ารู้ในอริยสัจนี่มันเป็นสิ่งที่คาดหมายไม่ได้ แต่ถ้าเป็นภาษาสมมุติมันสิ่งที่คาดหมายได้ คาดหมายเพราะเราเคยประสบสัมผัสมา มันสมมุติต่างกันไง ของชนิดเดียวกันแต่สมมุติต่างกันใช่ไหม แต่อริยสัจสมมุติไม่ต่างกัน สมมุตินะ สมมุติบัญญัติไง ขณะที่เราทำอยู่นี่เป็นสมมุติ เห็นไหม
ดูสิ ดูอย่างสมาธิก็เป็นสมมุติ เพราะอะไร เพราะเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง อนิจจังเป็นสมมุติไหม? เป็นสมมุติ แต่ในสมมุติความจริงไปไหน ความจริงตัวมันอนิจจังนั่นไง ตัวอนิจจังตัวเราเข้าใจไง เห็นไหม พอเราปล่อยวางมา เหมือนผู้มีอิทธิพลทำลายผู้อื่นทั้งหมด ทำลายเขามาทั้งหมดเลย แต่ตัวผู้มีอิทธิพลตัวนั้นคืออะไร นี่ก็เหมือนกัน คือตัวใจ ถ้าใจของเรา เห็นไหม ทำลายเขาทั้งหมด ถ้ามันทำลายอาการของใจ นี่กำหนดก่อน.. กำหนดให้มันสงบเข้ามาก่อน กำหนดเข้ามาเพื่ออะไร เพื่อจะเอากำลังเข้ามาทำลาย ถ้าทำลายเข้ามาบ่อยครั้งเข้าๆ พอถึงตัวใจมันทำลายไม่ได้ เห็นไหม
ครูบาอาจารย์บอกพอเราเข้าไปถึงตัวอวิชชา นี่นางสาวจักรวาลไง สิ่งที่มันเป็นนางสาวจักรวาล สิ่งที่มันลึกลับ เห็นไหม ดูสิกำหนดไปว่างหมด กำหนดภูเขาเลากาทะลุได้หมดเลย นี่ผู้มีอิทธิพลไง ผู้มีอำนาจมันทำลายเขาได้หมดเลย แต่มันไม่ยอมทำลายตัวมันเอง แล้วมันเป็นไปไม่ได้ด้วย มันเป็นไปไม่ได้ด้วยที่มันจะทำลายตัวมันเอง เห็นไหม
แต่ถ้าเป็นมรรคนะ ถ้าเป็นมรรคเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่สิ่งนี้มันมหัศจรรย์ ใครบ้างจะยอมทำลายตัวเอง แต่ถ้าไม่ทำลายตัวเองนะ ครูบาอาจารย์ท่านบอก เห็นไหม เวลาทีแรกพอมันว่าง เห็นไหม นึกว่าทองคำ นึกว่าสิ่งนี้เป็นของประเสริฐที่สุด เห็นไหม นี่ผู้มีอิทธิพลที่มีอำนาจมากที่ทำลายเขามาหมดนะ นี่ที่เรียกว่าภาษาใจๆ นี่มันมีอิทธิพลมาก มันทำลายเขามาหมด นึกว่าเป็นทองคำก็ไปสงวนรักษาไว้ แต่พอผ่านไปแล้วเป็นกองขี้ควาย เห็นไหม เป็นกองขี้ควาย แล้วเรานี่เรากล้าทุบทองคำ ทุบสิ่งที่มีคุณประโยชน์กับเราไหม
ในมหายานเขาบอก ถ้าเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฆ่าก่อน เห็นไหม เวลาเราเข้าใจกันเราก็รับไม่ได้ เวลาเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราจะฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ก็พุทธะไง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่คือตัวอวิชชา ตัวธาตุรู้ตัวความรู้สึกของเรานี่มันตัวพุทธะ ตัวพุทธะนี่แหละตัวมันเอง เพราะอะไร? เพราะมันละเอียด เห็นไหม
นี่รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา รูปราคะ อรูปราคะนี่มันเป็นสมาบัติ เห็นไหม เป็นสมาบัติ รูปฌาน อรูปฌาน มันเป็นราคะ เป็นราคะเพราะอะไรเพราะจิตมันไปติด เห็นไหม จิตมันเป็นความว่าง จิตมันปล่อยวางทั้งหมดมันเป็นราคะ สิ่งที่เป็นราคะนี่เราไม่รู้นี่ ราคะเราก็ว่าเป็นกามราคะ ราคะเป็นเรื่องของการเสพกาม ราคะเป็นการผูกโกรธกัน ราคะนี่มันหยาบๆ นะ ราคะนี่ตัวมันเองเป็นราคะไม่มีใครรู้มัน แล้วจะย้อนกลับเข้าไปทำลายตัวมันเองนะ
แต่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เวลาครูบาอาจารย์นี่ท่านกราบธรรม เวลาภิกษุที่กำลังวิปัสสนาอยู่ กำลังใช้ปัญญาใคร่ครวญเรื่องอวิชชาอยู่ แล้วมีความลังเลสงสัย เพราะอะไร เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น เห็นไหม นี่จะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือว่าเหมือนกับลูกศิษย์จะไปหาครูบาอาจารย์เพื่อจะให้เปิดช่องทางให้ไง แล้วไปถึงที่กุฏิ เห็นไหม ฝนตกมา ฝนตกแรงมากขึ้นไม่ได้ก็เลยรออยู่ที่นั่น เห็นไหม นี่เวลาฝนตกมาน้ำฝนนองไปหมดเลย แล้วน้ำฝนจากชายคาตกลงไปเป็นจุดเป็นต่อม มันเป็นฟองขึ้นมาแล้วมันแตก นี่สิ่งนี้คนเห็นกันทุกวัน คนเห็นเป็นเรื่องปกติเลย แต่เพราะอะไร เพราะวุฒิภาวะใจของเรามันไม่ถึงตรงนั้น
ใจของเราเหมือนกับฝีนี่ เราไม่ได้เป็นฝี คนที่เขาเป็นฝี เห็นไหม มันเจ็บปวดใช่ไหม เวลาบ่งฝีนี่ พอหนองแตกปั๊บมันจะหายเจ็บปวดเลย จิตก็เหมือนกัน จิตเวลาผู้มีอิทธิพลทำลายเขาเข้ามาก่อน เห็นไหม ทำลายเข้ามาถึงตัวของใจ แล้วจิตมันกำลังใคร่ครวญอยู่ นี่กำลังใคร่ครวญ กำลังพิจารณาของจิตนั้นอยู่ พอไปเจออาการกระทบ เห็นไหม นี่สภาวธรรมของครูบาอาจารย์ เวลาครูบาอาจารย์ว่าสรรพสิ่งเป็นธรรมทั้งหมด เป็นธรรมต่อเมื่อเราเป็น เห็นไหม เราเป็นผู้เฒ่าผู้แก่เราจะมองโลกนี่เข้าใจหมดเลย สิ่งนี้สภาวะเป็นธรรม ธรรมเพราะเราเข้าใจ เรามองเห็น
แต่เด็กมันไม่เข้าใจนะ เด็กนี่มันเรียกร้องเอา ดูเด็กสิ มันต่อต้าน มันเรียกร้องเอาแต่ความพอใจของมัน เห็นไหม มันเรียกร้องเอาแต่ความพอใจของมัน นี่มันต่างกันตรงนี้นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นธรรม สภาวธรรมๆ เป็นธรรมชาติ ธรรมเป็นธรรมทั้งหมดนะ ธรรมต่อเมื่อใจดวงนั้นเป็นธรรม จะเห็นนี่สภาวะเป็นธรรมเพราะใจมันเป็นธรรม แต่ใจมันเป็นกิเลสอยู่นี่ มันนะสภาวธรรมๆ นี่กิเลสมันหลอก หลอกว่าสิ่งนี้เป็นสภาวธรรม สภาวธรรมทำไมไม่ปล่อยล่ะ
หลวงปู่ฝั้นท่านพูดนะ เวลาเราเทศน์ธรรมะกัน พูดธรรมะกันปากเปียกปากแฉะนะ แต่ผมหัวดำๆ แล้วสละผมไม่ได้ไง เพราะคือว่าคฤหัสถ์นี่สละมาเป็นบรรพชิต มาเป็นบรรพชิตเพราะอะไร บรรพชิตว่าเป็นนักรบ ทางอันกว้างขวาง เห็นไหม ๒๔ ชั่วโมงนะ เวลาเราอยากปฏิบัติกัน เราอยู่ทางครอบครัวเราอยากได้เวลามาก เราอยากมีโอกาสมากเลย แต่เรามีความจำเป็นเพราะเรามีความรับผิดชอบ
คนดี.. คนดีเป็นผู้ที่รับผิดชอบ รับผิดชอบชีวิตของเรา รับผิดชอบครอบครัวของเรา รับผิดชอบสังคมของเรา รับผิดชอบทั้งหมด เห็นไหม คนที่รับผิดชอบ รับผิดชอบแล้วนี่โอกาส เราต้องทำหน้าที่การงานของเราเพราะเรารับผิดชอบ เราต้องการให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ขอให้ครอบครัวของเราให้ญาติมิตรของเรามีความสุข เห็นไหม มีความสุข เราสละความสุขออกไปให้คนอื่นแล้วเราก็เป็นความสุขด้วย เพราะสิ่งที่เราพอใจ เห็นไหม นี่สิ่งนี้มันเป็นหน้าที่ มันจะทิ้งมาไม่ได้ ทิ้งมาไม่ได้นะ
แต่ถ้าถึงที่สุดเวลาทิ้งมา เวลาเจ้าชายสิทธัตถะออกบรรพชา เห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะออกมาแสวงหาโมกขธรรม นี่ทุกคนว่าเห็นแก่ตัวๆ มันเป็นคราวเป็นเวลานะ ถ้าเราสละออกก่อน เห็นไหม มันถึงจะต้องทำความสงบของใจก่อน ให้ใจนี่มันมีรากมีฐานของมันก่อน ถ้าใจไม่มีรากมีฐานความคิดเป็นโลกียะทั้งหมด ความคิดนี่โลกๆ โลกหมดเลย เพราะอะไร เพราะสภาวธรรมๆ สภาวธรรมมันเป็นธรรมชาติของเขา เขาไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ ไม่มีสิ่งรองรับ ไม่มีตัวใจไง
แต่สภาวธรรมของเราสิ สุข ทุกข์ นี่มันซับลงที่ใจ การกระทำของจิตมันจะลงที่ใจหมดเลย แล้วเวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณนะ ระลึกได้ เรานึกเมื่อวานได้ไหม เรานึกแต่ตอนเราเป็นเด็กได้ไหม ถ้าเราไม่ได้เป็นเด็ก เราไม่ได้ทำ เห็นไหม นี่ตั้งแต่เรามานี่สภาวะแวดล้อมบ้านเรือนของเรา เราเปลี่ยนเราซ่อมไปกี่หลังแล้ว เราเปลี่ยนบ้านไปกี่หลังแล้ว นี่สิ่งที่เปลี่ยนบ้านกี่หลัง บ้านมันมีความรู้สึกอะไร เพราะมันเป็นวัตถุใช่ไหม ธรรมชาติมันก็เป็นสิ่งนี้เพราะมันไม่มีชีวิต มันไม่มีชีวิตของมัน มันเป็นสภาวะธรรมชาติ มันแปรปรวนของมันตลอดเวลา แต่จิต จิตนะ เราเป็นคนครองบ้าน เราเป็นคนเปลี่ยนบ้าน เราเป็นคนซ่อมแซมบ้าน เราเป็นคนทำบ้าน นี่เห็นไหม สถิติอันนี้มันจะกลับมาลงที่ภวาสวะ ลงที่ใจ ตัวภพ ตัวความรู้สึกอันนี้
เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณนี่มันย้อนกลับไป ข้อมูลมันมีนะ ข้อมูลในใจมันมีมันก็ย้อนอันนี้ออกมา มันจะเห็นสภาวะของใจทั้งหมดเลย ว่าภพชาติเป็นอย่างไร เห็นไหม มันจะชำระตรงนั้น นี่สภาวะธรรมชาติ สภาวะธรรมชาติมันเป็นของเขา มันเป็นธรรมชาติของเขา มันแปรปรวน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าโลกนี้เป็นอจินไตย สภาวะนี้มันจะแปรปรวนอย่างนี้ตลอดไป เห็นไหม มันแปรปรวนตลอดไปเพราะมันมีอยู่ แล้วมันจะแปรปรวนอย่างนี้ตลอดไป แต่มันเป็นธาตุ แต่หัวใจนี่ ธาตุรู้นี่ เห็นไหม พุทธะๆ ที่ว่าต้องฆ่าพุทธะก่อน ฆ่าตัวอวิชชา ตัวความเป็นไป เห็นไหม สิ่งที่มีอยู่มันจะสูญหายไปได้อย่างไร
เวลาทำกิเลสออกจากใจแล้วนี่ ธรรมอันนี้สะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม สะอาดบริสุทธิ์แล้วมันไม่มีน้ำหนัก ไม่มีการแบ่งค่า ถ้าไม่มีการแบ่งค่าสภาวธรรมก็เป็นสภาวธรรม มองเข้าใจแล้วเป็นธรรมทั้งหมด เห็นไหม นี่ถ้าสภาวธรรมธรรมจากหัวใจอันหนึ่ง ธรรมจากธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นธรรมชาติมันก็แปรปรวนอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องของร่างกาย
เหมือนร่างกายเลย ร่างกายธาตุ ๔ ธาตุ ๔ นี่แปรปรวนตลอดเวลา เห็นไหม ธาตุ ๖ เห็นไหม ธาตุ ๖ อากาศธาตุ อากาศธาตุคือโพรง อากาศธาตุ อวกาศกับอากาศ อากาศคือโพรงกระดูก เห็นไหม มันเป็นสุญญากาศ สุญญากาศคือโพรงกระดูกของเรา
แล้วตัวธาตุรู้ เห็นไหม ธาตุ ๖ ธาตุ ๔ ธาตุ ๖ ธาตุ ๖ นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์เฉพาะผู้ที่เป็นบรรพชิต ผู้ที่นักรบ เห็นไหม ธาตุ ๖ เห็นไหม ธาตุ ๖ เป็นธาตุรู้ ธาตุรู้มันโดนปกคลุมด้วยอวิชชา นี่สิ่งนี้เวลาปฏิบัติมันจะเข้าไปถึงตัวของใจ นี่สภาวธรรม ถ้าสภาวธรรมนี่มีครูบาอาจารย์ มันถึงบอกมันมีโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญาต้องอาศัยฐาน เห็นไหม ฐาน ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาที่เกิดจากวิปัสสนา ปัญญาธรรมจักรที่จักรมันเคลื่อนออกไป
ถ้าไม่มีจักรเคลื่อน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักร เห็นไหม นี่เทวดา อินทร์ พรหม ส่งข่าวกันต่อๆ ไป เห็นไหม นี่จักรนี้เคลื่อนแล้วย้อนกลับไม่ได้ ย้อนกลับไม่ได้เพราะมันเป็นอดีต มันเป็นประวัติศาสตร์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ เห็นไหม มันจะย้อนกลับไปได้อย่างไร มันย้อนกลับไม่ได้ แล้วการย้อนกลับไม่ได้มันเป็นผลไปแล้ว มันเป็นอกุปปธรรม เป็นอฐานะ เป็นอฐานะ คนที่เกิดตายไปแล้ว อย่างเรานี่เกิดตายเกิดตายมันก็เกิดตายในวัฏฏะ
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เกิดในวัฏฏะแล้ว เพราะธรรมจักรอันนี้ จักรอันนี้ ธรรมอันนี้ มันได้เคลื่อนในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทำลายกิเลสออกมาแล้ว อันนี้มันเป็นผลแล้ว มันเป็นอฐานะที่จะย้อนกลับได้ แล้วเวลาเทศนาว่าการออกมานี่ มันก็เป็นสัจธรรมอันเป็นความเป็นจริง แต่เป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วเราก็ไปศึกษา นี่ศึกษาแล้วเราใคร่ครวญของเรานี่มันเป็นโลกียะ โลกียะเพราะเป็นเรา โลกียะจากกิเลสของเรานะ โลกียะจากใจของเรา ใจของเราไปศึกษา ธรรมอันนั้นเป็นของจริง ธรรมชาติเป็นของจริง แต่ใจเราเป็นของปลอม แล้วมันศึกษาอันนั้นขึ้นมามันก็เลยปลอม ปลอมเพราะเอากิเลสเราเข้าไปบวก กิเลสเราเข้าไปวิเคราะห์ กิเลสเราเข้าไปสัมผัส
แต่เวลาใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจของผู้ปฏิบัติ ใจของครูบาอาจารย์ที่สิ้นแล้วนี่ มันไม่มีสิ่งนี้บวก มันเป็นธรรมเหมือนกัน ธรรมเหมือนกันเข้ามาเหมือนลมพัด สิ่งต่างๆ มันเป็นไป มันไม่มีสิ่งใดมากีดขวางไง แต่ของเรานี่เรามีกำแพงกีดขวาง กำแพงทิฏฐิมานะของเรา กำแพงกิเลสของเรามันกีดขวางอยู่ ตัวมันผ่านไปไม่ได้หรอก มันติดอยู่ที่กำแพงของเรา เห็นไหม ติดที่ฐานะของเรา ติดที่เกียรติของเรา เห็นไหม นี่มันถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นธรรมชาติเหมือนกัน แต่ธรรมชาติของใคร?
ธรรมชาติของผู้ที่มีกิเลสอย่างหนึ่ง ธรรมชาติของผู้ที่ไม่มีกิเลสอย่างหนึ่ง เพราะมันมองด้วยวุฒิภาวะต่างกัน มองด้วยหัวใจต่างกัน ให้ค่าต่างกัน เห็นไหม นี่สิ่งที่ต่างกันอันนี้ภาษาสมมุติ นี่เห็นไหม เวลาสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ไง เพราะอะไร ยังสื่อสมมุติอยู่กับเขา แต่อนุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตไปแล้วหมดกันๆๆ แล้ว สื่อกับสมมุติไม่ได้ เว้นไว้แต่ เว้นไว้แต่ เห็นไหม อย่างหลวงปู่มั่น อย่างครูบาอาจารย์นี่ ทำความสงบของใจ เห็นไหม นี่สิ่งที่อาหาร ๔ นะ มโนสัญเจตนาหาร มโน เห็นไหม มนสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ มโนก็ตัวเบื่อหน่าย ความสัมผัสของใจก็น่าเบื่อหน่าย สิ่งที่เบื่อหน่ายทั้งหมด แต่มันเป็นสมมุติบัญญัติที่จะสื่อเข้ามา แต่ต้องมีจิตฐานพร้อมมันถึงจะสื่อสัมพันธ์กันได้ เห็นไหม
นี่พระอรหันต์มีอยู่ไง แต่มีอยู่ของผู้ที่มีจิตเสมอกัน ผู้ที่มีจิตที่เป็นประโยชน์ถึงจะสื่อสัมพันธ์กัน มีอยู่ทั้งนั้นแต่โลกไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลยทั้งสิ้น โลกมีแต่การคาดหมายของกิเลส กำแพงขวางกั้นขวางกันใจของตัว แล้วใจของตัวเข้าไม่ถึงสัจจะความเป็นจริงไง มันก็อยู่ในกำแพงอยู่อีกซีกกำแพงหนึ่ง กำแพงของสมมุติ แต่ถ้ามันผ่านทะลุกำแพงเข้าไปมันเป็นวิมุตตินะ มันไม่มีกำแพงสมมุติมาขวางกั้น เห็นไหม ทำไมมันจะสื่อไม่ได้มันสื่อได้ทั้งนั้นล่ะ แต่สื่อที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ล่ะ สื่อแล้วไม่เอามาเป็นประโยชน์กับโลก ไม่เอามาเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม ประโยชน์ๆ ประโยชน์ของโลก ประโยชน์ก็คือขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เห็นไหม ประโยชน์ก็คือขี้
แต่ธรรมเป็นธรรมสะอาดบริสุทธิ์นะ ธรรมในหัวใจสะอาดบริสุทธิ์มาก นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านถึงกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบจากหัวใจนะ กราบพระธรรมๆ นี่ แต่พระธรรมที่กิเลสเจือไปด้วยมันก็เป็นของกิเลส เห็นไหม ธรรมของกิเลสคือสภาวะธรรมชาติไง มันเปลี่ยนแปลงไง ไม่คงที่หรอก นี่พายุจะพัด แผ่นดินจะเปลี่ยนแปลง เห็นไหม กัดเซาะชายตลิ่งแล้วตะกอนจะสะสมเกิดเป็นแผ่นดินใหม่ แล้วจะเกิดมีการกัดเซาะไปกันอย่างนี้ๆ ตลอดไป แล้วเราก็จะอยู่กันอย่างนี้ นี่เรื่องของโลก เห็นไหม
แต่เรื่องของใจ เรื่องของใจสุดสิ้นได้ โลกนอกโลกใน โลกนอกคือเรื่องโลก เรื่องจักรวาล โลกในโลกทัศน์ โลกกิเลสร้ายกว่าเยอะ กว้างกว่าเยอะ ทำลายกว่าเยอะเพราะมันกว้างขวางมันยึดภพยึดชาติ แล้วทำลายภพจากภายใน โลกนอกโลกใน ถ้าโลกในสิ้นแล้ว โลกในทำลายโลกในแล้วโลกนอกอาศัยกันไป สอุปาทิเสสนิพพาน เอวัง